Tuesday, July 22, 2008

โรคไฮโซของพี่น้องตัวแสบ



















ถ้าแฟนคลับน้องคาเวียร์พอจะจำกันได้ สมัยที่คาเวียร์ยังเป็นละอ่อนอยู่ เจ้าไข่ปลาตัวนี้เป็นเชื้อราอย่างแรงที่หูจนขนหาย และเป็นภูมิแพ้ที่หาง
จนกระทั่งทุกวันนี้ หางน้องไข่ปลายังเป็นปล้องอยู่นิดๆพอเป็นพิธี
ถึงกระนั้น พ่อแม่ไข่ปลาก็ยังต้องประคบประหงมลูกสาวตาใสคน
เอ้ย ตัวนี้อยู่ตลอด

แต่...อย่างที่บอกไว้ในตอนที่แล้ว ในขณะที่แม่ไข่ปลาต้องห่างบ้านไปมาเลฯ พ่อไข่ปลาต้องดูแลลูกสาวทั้งสองอยู่คนเดียว คืนแรกเหตุการณ์ปกติ
แต่พอวันที่สอง แม่ไข่ปลาก็ได้รับสายตรงจากไทยไปมาเลฯจากพ่อไข่ปลาว่า
ลูกสาวคนโตท้องเสียแบบไม่หยุดหย่อน ถึงแม้จะทำธุระในกระบะทราย
แต่ด้วยขนที่กรุยกรายของเจ้าหล่อน จึงทำให้ธุระติดตัวออกมาเยี่ยมเยียนพื้นบ้าน นอกจากพ่อไข่ปลาจะต้องตามเช็ดพื้นแล้ว ยังต้องคอยไล่จับคาเวียร์
มาทำความสะอาด และด้วยสมองอันชาญฉลาด และเพื่อความสะดวก (หรือขี้เกียจก็ไม่รู้)ในการทำความสะอาดครั้งต่อๆไป พ่อไข่ปลาเลยใช้วิธีว่า
เปื้อนตรงไหน กร้อนตรงนั้น เพราะคราวหน้าจะได้ไม่เลอะอีก
แชมเปญที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย เพียงแค่ยังไม่ค่อยมีความเป็นมืออาชีพ
ในการถ่ายหนัก อาจจะมีเปื้อนบ้างเล็กน้อย ก็เลยโดนลูกหลงไปด้วย
กลับมาจากมาเลฯ แม่ไข่ปลาเลยได้เชยชมขนเด๋อๆตรงบั้นท้ายของลูกสาวทั้งสอง
ไอเดียบรรเจิดจริงจริ๊งๆพ่อไข่ปลาซาลอน


ปรากฏว่า อาการท้องเสียของคาเวียร์ไม่ใช่เป็นเรื่อง short term
เพราะตั้งแต่กลางเดือนมิ.ย. เป็นต้นมา คาเวียร์ก็ถ่ายไม่ปกติมาตลอด
ถึงแม้จะถ่ายแค่วันละหน แต่ก็ดูเหมือนท้องไม่ค่อยดี ตอนแรกก็คิดว่า
เป็นเพราะเราให้อาหารเปียก คาเวียร์อาจจะไม่ชิน จนเมื่อกลางคืนวันอังคาร
ที่ 29 ก.ค. คาเวียร์อึ๊ปนเลือดออกมาด้วย แม่ไข่ปลาสติแตกอย่างแรง ปากคอสั่น โทร.ไปร้องห่มร้องไห้กับหมอต้อม ตอนนั้นประมาณ 5 ทุ่มกว่า แต่ไม่สนอ่ะ
หมอก็ใจดี ถามอาการคาเวียร์ แล้วหมอก็ให้ดูว่า เลือดที่ออกมาเป็นสีแดงเข้มๆ
หรือแดงสด ถ้าเป็นสีแดงเข้ม แปลว่าเลือดออกจากลำไส้เล็ก อันนี้จะอาการหนัก
แต่เลือดของคาเวียร์เป็นสีแดงสด แปลว่ามาจากลำไส้ใหญ่ ยังพอรอดูอาการได้
แต่แม่ไข่ปลาก็ยังไม่หยุด(สติแตก) โทร.ไปโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
ซึ่งก็ได้คำยืนยันมาเหมือนกัน คืนนั้น ก็เลยพอจะข่มตาหลับได้บ้าง


วันรุ่งขึ้น หลังจากที่กลับจากที่ทำงาน คาเวียร์ก็ยังไม่ดีขึ้น เลยพากันไปรพ.ทองหล่อ
ขนกันไปทั้งบ้านมันเลย ผลออกมาว่า ในอึ๊ของคาเวียร์มีเชื้อแบคทีเรียเยอะมาก
หมอก็ซักเป็นการใหญ่ว่า ชีวิตประจำวันของคาเวียร์เป็นยังไงบ้าง แล้วตัดออกไป
ทีละสาเหตุ เช่นว่า ไม่ได้ออกไปกินดินกินหญ้า ไม่ได้เข้าไปทานน้ำในห้องน้ำ
ไม่ได้คุ้ยขยะ ที่อาจจะเป็นไปได้มีอยู่ 2 อย่างคือ อาจจะชอบมาเลียรองเท้าเวลาที่
ี่เราถอดเอาไว้ หรือไม่ก็แอบกระโดดขึ้นซิ้งค์น้ำ แล้วมาทานน้ำที่เราแช่จานชามเอาไว้
นอกจากจะต้องป้องกัน 2 เรื่องหลังนี้ คาเวียร์ก็ยังได้ยามากินอีก 3 ขนาน
และอาหารกระป๋องพิเศษราคาหรูมาอีก 7 กระป๋อง

ไหนๆก็มาอยู่ที่รพ.กันแล้ว ให้หมอตาดูตาของแชมเปญหน่อยดีกว่า เพราะดูเหมือนว่า
จะบวมตลอดเวลา น้ำตาก็ไหลพรากทุกวัน ถึงแม้ว่าเราจะทำความสะอาดให้เช้าเย็น
แต่ตาก็จะดูมอมๆตลอด หลังจากตรวจด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ไฮเทคแล้ว
ผลก็ออกมาว่า ท่อน้ำตาน่าจะตัน อาจจะต้องมีการล้างท่อ แต่ยังทำเลยไม่ได้ เพราะ
ตายังบวมอยู่มาก เลยได้แค่ยาหยอดกับยาป้ายตากลับมาบ้าน


เบ็ดเสร็จแมว 2 ตัว หา 2 หมอ ตัวนึงโดนตรวจก้น ตัวนึงโดนตรวจตา
โดนไปเกือบ 2 พัน พ่อกับแม่ไข่ปลาแทบจะต้องไปหาหมอเย็บแผลที่หัว
แต่เอาน่ะ ถ้าแพงแล้วหายก็ โอเค (ว่าแล้วก็ขอผ้ามาเช็ดเลือดที่ริมฝีปากหน่อยซิ)


จากวันที่ไปได้ยามา ชีวิตของพ่อแม่ไข่ปลาก็เปลี่ยนไป เพราะต้องมาสู้รบปรบมือ
กับลูกๆทุกเช้าและก่อนนอน แชมเปญเนี่ย ไม่เท่าไหร่ เพราะยังเด็กอยู่ หลอกล่อได้
ฤทธิ์ยังไม่เยอะ แต่คาเวียร์นี่สิ...สุดจะบรรยาย จากที่เคยทานยาง่ายๆตอนเด็กๆ
ตอนนี้ เจ้าหล่อนล๊อคกรามแน่นมากกกกก ง้างกันไม่ขึ้น พอฉีดยาน้ำเข้าไปได้
ก็พ่นออก แถมมีการก่อหวอดน้ำลาย ฟองฟอดฟูมออกมา ห้อยย้อยจากปาก
เดินหนีทั่วบ้าน นอกจากพ่อแม่จะต้องตามเช็ดพื้น ยังต้องรอให้เจ้าหล่อนหายตื่น
แล้วอุ้มมาทำความสะอาด ล้างขนตรงช่วงหน้าอก แล้วก็ต้องเป่าให้แห้งด้วย
โทร.ไปปรึกษาหมอ หมอก็ลองให้เปลี่ยนเป็นยาเม็ดเล็กๆ พ่อง้างปาก แม่ยัดยา
ลูกดันบ้วนออกมาอีกซะนี่ บางทีนึกว่ากลืนไปแล้ว หันไปดูอีกที ก็คายออกมา
ตบท้ายด้วยการก่อหวอดน้ำลายเหมือนเดิม หมอยังแนะมาอีกว่า ให้ลองบดยา
ใส่อาหาร เพราะยาเม็ดเล็กมาก คาเวียร์ไม่น่าจะรู้สึกอะไร ที่ไหนได้
เจ้าหล่อนดมเสร็จแล้วก็เดินหนีไปเลย หนักไปกว่านั้นคือ คาเวียร์เริ่มจำได้ว่า
ยาจะมาหลังอาหาร เพราะฉะนั้น พอทานเสร็จ ก็จะวิ่งเป็นนินจา หลบไปอยู่ใต้เตียง
ต้องรอให้เผลอๆ ออกมาถึงจะจับมาพันด้วยผ้าเช็ดตัว (อุปกรณ์สำคัญในการ
ป้อนยาแมวที่ดิ้นเก่งๆ) สรุปว่า อาทิตย์ที่แล้ว ขนาดตื่นกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า
พ่อกับแม่ไข่ปลาไปทำงานสายกันเกือบทุกวัน แถมพ่อไข่ปลามีแต่รอยข่วนเต็มมือ
แม่ไข่ปลาแอบดีใจเล็กน้อย เพราะหญิงอื่นเห็น จะได้ไม่กล้ามายุ่ง
ประมาณว่าเมียดุ หุหุ


เสาร์ที่ผ่านมาก็พาลูกๆไปรพ.อีกที หมอบอกว่าอึ๊คาเวียร์มีแบคทีเรียเหลืออยู่อีกนิดนึง
ให้ป้อนยาต่อไปถ้าทำได้ (ซึ่งเราก็ตัดสินใจไม่ป้อนต่อ เพราะช่วงหลังๆคาเวียร์เป็นโรค
วิตกจริตไปแล้ว เดินเข้าไปหาไม่ได้เลย วิ่งไปหลบตลอด) ส่วนแชมเปญก็โดนล้าง
ท่อน้ำตา ไปตามระเบียบ และยังได้ยามาทานเพิ่มอีก 2 ขนาน ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหา
เบ็ดเสร็จคราวนี้ก็จ่ายค่าเสียหายไปอีกพันกว่าๆ


หลังจากนั้น อาการของคาเวียร์และแชมเปญดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ 100%
นี่กะว่าจะรอดูไปอีกพักนึง ถ้ายังไม่ดีขึ้นอีก จะย้ายถิ่นฐานไปรพ.สัตว์จุฬาฯ
เพราะได้ข่าวว่าดี (และพ่อแม่ไข่ปลากำลังจะหมดตัว) และล่าสุด เมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.)
ก็พาทั้งสองสาวไปตรวจอีกรอบ ตาแชมเปญดีขึ้นมากหลังจากเริ่มทานยา
หมอเลยฟันธงว่า เป็นโรคภูมิแพ้ พ่อแม่เลยมองหน้ากันเจื่อนๆ ถามหมอว่า แล้วต้องให้
ยาไปเรื่อยๆเลยเหรอ คำตอบของหมอพอจะให้กำลังใจเราได้บ้าง หมอบอกว่า
พอโตขึ้น ภูมิอาจจะดีขึ้น ตอนนี้ให้ยาไปต่ออีกอาทิตย์นึง แล้วหลังจากนี้จะให้ลอง
เว้นวันให้ค่อยๆนานขึ้น แล้วค่อยดูว่าควรจะให้ยาบ่อยแต่ไหน แต่คำตอบของ
หมอที่ตรวจอาการของคาเวียร์นี่ไม่ค่อยจะจรรโลงใจเท่าไหร่นัก เพราะพอเล่า
ให้หมอฟังว่า อึ๊ยังนิ่มอยู่และมีเลือดออกมานิดๆ หมอเลยตรวจแบคทีเรียอีกครั้ง
ผลออกมาว่ามีแบคทีเรียน้อยมาก ไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้อึ๊นิ่มหรือมีเลือด
น่าจะเป็นว่า สูตรอาหารที่ให้อาจจะยังไม่เหมาะกับวิธีการย่อยอาหารของเค้า
สิ่งที่ต้องทำก็คือ นอกจากจะต้องให้อาหารกระป๋องอย่างหรูไปเรื่อยๆแล้ว
อย่าให้อาหารเม็ดผสมยี่ห้อ ให้ลองให้ยี่ห้อเดียวอาทิตย์นึง แล้วดูว่าเค้าตอบสนอง
กับยี่ห้อไหนดีที่สุด งานเข้าอีกแล้วนังแม่ไข่ปลา เพราะดันหัวใสเทอาหารเม็ด
สามขนานรวมกันใส่ถังเอาไว้แล้ว คราวนี้เลยต้องมานั่งแยกชนิด แจ่มจริงๆ


พ่อแม่ไข่ปลายังโชคดีอยู่อย่างนึงตรงที่ ถึงแม้ว่าคาเวียร์และแชมเปญ
จะไม่ค่อยสบาย เป็นโรคไฮโซ (ประหนึ่งว่าพ่อแม่รวยมาก) แต่ทั้งสองตัวก็มี
สุขภาพจิตที่ดีมาก ยังเล่นยังกินกันได้เหมือนปกติ เดินมาอ้อน มาให้ลูบอยู่เรื่อยๆ
ชื่นใจซะไม่มี เหมือนถูกหลอกใช้ แต่ก็ยอม นี่แหล่ะน๊าเค้าถึงเรียกคนที่เลี้ยงแมวว่า
ทาสแมว


คราวนี้แฟนๆน้องไข่ปลาคาไหกับน้องเหล้าขาว คงจะพอเข้าใจแล้วชิมิว่า
แม่ไข่ปลาหายไปไหนมา หวังว่าเรื่องยาวๆกับรูปตรึมส์ข้างล่างนี้คงจะจุใจ
แฟนคลับน้องแมวละอ่อนและทำให้หายคิดถึงกันบ้างนะค๊า


คราวหน้า(เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน) จะมาเล่าเรื่องแสบๆของน้องแชมเปญ
ให้ขำๆกัน รับรองว่าไม่ธรรมดา เพราะขณะที่พ่อไข่ปลาเรียกคาเวียร์ว่า
ไอ้แสบ แชมเปญก็โดนพ่อไข่ปลาเรียกว่า ไอ้แสบกว่า
แต่ตอนนี้มาดูรูปกันก่อนดีกว่า.....


กล่องหรรษาที่พ่อไข่ปลาแปลงมาจากกล่องพัดลม
เป็นที่ชื่นชอบของลูกๆมาก แชมเปญจะหนีคาเวียร์ลงกล่อง
แล้วผลุบๆโผล่ๆหลอกล่อคาเวียร์
























ถ้าเผลอออกมาจากรูเมื่อไหร่ คาเวียร์จะรีบเข้าไปชาร์จทันที
มวยปล้ำแมวแบบนี้มีให้เห็นทุกวัน
























โต๊ะที่เป็นชั้นๆ ข้างบนเป็นเขียง พ่อไข่ปลาซื้อมาไว้เตรียมอาหาร
ก็เป็นที่เล่นโปรดอีกอัน
























เก้าอี้ตัวนี้ รับงานหนักทุกคืน เพราะเป็นที่เล่นมวยปล้ำของสองพี่น้อง
และเป็นที่หนีตายของน้องแชมเปญเวลารับมือพี่คาเวียร์ไม่ไหว
























เล่นหนัก ก็หลับสนิท หมดสภาพ(แมว)ทั้งคู่

Tuesday, July 8, 2008

ไปมาเลฯมาแล้น

อ๊ะๆ อย่าเพิ่งต่อว่าต่อขานกันนะจ๊ะ ที่ไม่ได้อัพเนี่ยเพราะมีเหตุผลที่
ฟังขึ้นมากๆ แต่อย่าไปเสียเวลากับเหตุผลเหล่านั้นเลยเน๊อะ
มาอ่านเรื่องแม่ไข่ปลาไปมาเลฯดีกว่า (เนียนมะ)

เมื่อช่วงวันที่ 13 - 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม่ไข่ปลาได้มีโอกาสไปมาเลฯมา
เป็นครั้งที่2ของชีวิต ครั้งแรกไปเมื่อตอนม.ปลายนู่น จำอะไรมะได้เลย
แต่คราวนี้ โอ้โฮ...แค่แอร์พอร์ตก็ดูอลังการแล้ว
ในเมืองกัวลาลัมเปอร์ไม่ต้องพูดถึง เดิ้นมั่กๆ

ทริปนี้เป็นทริปจำเป็น ไม่ไปไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นส่วนนึ่งของการเรียน
พูดง่ายๆก็คือ ถ้าไม่ไป ก็ไม่ได้ ดร. มาประดับไว้หน้าชื่อ
สิ่งที่ต้องไปทำที่นู่นก็คือ นำเสนอผลงาน และก็ต้องไปเอางานนั้นที่ลง
ใน e-Book ของที่ประชุม กลับมาให้ Graduate School เพื่อเป็น
หลักฐานยืนยันว่าเราทำครบตามข้อกำหนดทุกอย่าง
จะได้แจ้งจบได้(ซะที)

มีอาจารย์ไปกันทั้งหมด 5 คน ได้นำเสนอผลงานกันคนละวัน
คนละเวลาและคนละห้อง ก็เลยไปให้กำลังใจกันถ้วนหน้า
แถมทุกคนก็จะมีรูปตอนนำเสนอผลงานด้วย แต่เรื่องดวงจุ๊ดเนี่ย
ไม่เข้าใครออกใคร เพราะพอถึงคิวแม่ไข่ปลานำเสนอผลงาน
แบตเตอรี่กล้องดันอ่อนแรง ใช้แฟลชไม่ได้
แถมโดนนำเสนอคนแรก เลยไม่มีเวลาได้เตรียมกล้องกันเท่าไหร่
สรุปรูปแม่ไข่ปลาตอนนำเสนองานเลยเบลอแบบได้ใจ
แต่ก็มีรูปตอนไปเดินเล่นที่พอจะเอามาอวดได้

เริ่มจากรูปวิวก่อนแล้วกันเน๊อะ


















ช่วงเย็นของวันที่ไปถึงก็เดินไปเที่ยวที่ Twin Towers หะรูหะรามาก



















วันต่อมาต้องตื่นแต่ไก่โห่มาลงทะเบียน หน้าตาบวมสุดๆ


















ช่วงเย็นไปเดินเล่น China Town แล้วกลับมางานเลี้ยงที่โรงแรม



















และแล้วก็ถึงวันนำเสนองาน
ได้คิวช่วงบ่าย เลยยังพอพูดจารู้เรื่องและหน้าไม่บวม!



















ส่วนวันสุดท้าย ก็ไปให้กำลังใจอาจารย์ท่านอื่นๆ
แล้วก็ได้ภาพหมู่กลับมาลงข่าวที่มหา'ลัย

ไปมาเลฯตั้งหลายวัน แฟนคลับน้องไข่ปลาไฮโซอาจจะสงสัยว่า
แล้วพี่คาเวียร์น้องแชมเปญอยู่บ้านกับพ่อไข่ปลาแล้วเป็นไงบ้าง
ขอบอกว่า...น่าสงสารทั้งพ่อและลูก
ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ติดตามตอนต่อไปนะคะ
(หุหุ หลอกให้อยาก แล้วจากไปอีกแล้นนนน)

Wednesday, June 11, 2008

โกลาหลซีรีส์

เฮ้ออออ ไม่รู้จะเริ่มเรื่องไหนก่อนดี เพราะดองไว้เยอะ
แถมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนชื่อเรื่องซะเหลือเกิน
โกลาหลซะจนทำเอาแม่ไข่ปลาทั้งปวดกบาล เศร้า เครียด
แต่ก็ตบท้ายด้วยการหัวเราะ (เพราะ happy ending นะจ๊ะ ไม่ใช่เป็นบ้า)
เอาเป็นว่าขอเคาะดินออกจากหางทีละเปราะก็แล้วกัน

กลับจากปากช่อง แม่ไข่ปลาก็ขะมักขะเม้นและขะมั่วปลูกต้นข้าวสาลี
พี่ปิ๊กทาสแมวใจดีที่ส่งเมล็ดข้าวมาให้ คงสามารถสัมผัสได้ถึงสติปัญญาของแม่ไข่ปลา
เลยส่งวิธีปลูกมาให้ด้วย เป็นข้อๆละเอียดยิบ แม่ไข่ปลาซึ่งขึ้นชื่อว่ามีมือที่ร้อนฉ่า
ปลูกอะไรก็เหี่ยวตายเป็นเบือ เหมือนโรคระบาดยังไงอย่างงั้น ก็เลยตื่นเต้นมาก
อ่านวิธีทำทั้งก่อน ระหว่าง และหลังทำทุกขั้นตอน เหมือนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ
ขาดความมั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด จนกระดาษวิธีทำเปื่อยเหี่ยว เหมือนผ่านมาหลายมือ
"เอ๊ะ เค้าให้แช่เมล็ดกี่ชั่วโมงนะ" "เอ๊ะ เราแช่ไปนานแค่ไหนแล้วนะ"
"เอ๊ะ ต้องปิดกระดาษไว้นานแค่ไหนนะ" "เอ๊ะ ต้องฉีดน้ำกี่หนนะ" และอีกหลายๆเอ๊ะ
จนในที่สุด ก็ได้ต้นข้าวสาลีี่อ่อนเขียวขจีมาให้แม่ไข่ปลาเชยชม
























แล้วมันโกลาหลตรงไหน ก็ตรงที่ว่า "เอ๊ะ อะไรขาวๆหว่า" "โอ้แม่เจ้า ราเว้ย"
มาได้ไงเนี่ย โดนแดดโดนลมขนาดนี้ รานี่มันดื้อด้านจริงๆ ร้อนรนไปถามพี่ปิ๊ก แต่ก็ได้คำตอบคล้ายๆกับตอนที่คาเวียร์เป็นเชื้อราที่หมอบอกว่า
"มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และมันมีได้หลายสาเหตุ" ไม่เป็นไรวุ้ย
อย่างน้อยก็ปลูกขึ้นล่ะฟะ แต่แทนที่จะสามารถยกไปทั้งกระถางให้คาเวียร์ได้เล็ม
ก็คงต้องใช้วิธีตัดไปผสมอาหารแทน อ่ะ..โกลาหลที่หนึ่งนี่ยังเบาะๆ
มาติดตามเรื่องที่สองกันดีกว่า

ตามที่ได้หมายมั่นปั้นมือไว้ว่า แม่ไข่ปลาอยากหาน้องแมวสาวมาเป็นเพื่อนคาเวียร์
พ่อแม่ไข่ปลาก็รอให้แมวของรุ่นน้องเค้าโตพอที่จะแยกเพศได้อย่างใจจดจ่อ
และแล้วก็ถึงวันนี้ที่รอคอย (ลิเกและเก่าดีมะ) น้องปลาแอร์ฯสาวโทร.มาบอกว่า
พาแมวไปให้หมอดูเพศแล้ว ผู้สองเมียสอง "พี่มาเลือกไปได้เลย"

วันเสาร์ที่แล้ว หลังจากที่ไปทำธุระกันเสร็จ พ่อแม่ไข่ปลาก็ดิ่งไปบ้านน้องปลา
ตื่นเต้นกันมาก แล้วก็ได้น้องเหมียวหน้าตาดีมา 1 ตัว แต่น้องเหมียวตัวนี้มีหมัด
กลัวจะเอาไปติดคาเวียร์ เราเลยรีบดิ่งจากวิภาวดีไปหาหมอต้อมเจ้าเก่าแถวสาทร
ก่อนจะหยอดยาไล่หมัด ด้วยความละเอียดของหมอต้อม หมอก็ยกหางขึ้นมาดู
แล้วทำหน้าสงสัย นังแม่ไข่ปลายังไม่รู้ชะตากรรม คุยเล่นกับพ่อไข่ปลา
แหม..ก็ได้ลูกสาวมาใหม่นิ ซักแป๊บหมอต้อมก็พูดเสียงแบบรักษาน้ำใจพ่อแม่ดวงจู๋ว่า
"หมอว่า...เค้าเป็นตัวผู้นะ" (เราอ้าปากค้าง ตาค้าง ไร้เสียงตอบโต้)
หมอคงยังไม่สาแก่ใจ เพราะมีการพูดเหมือนท้าทายว่า
"นี่ไง มาลองคลำดูสิ มีไข่ 2 ลูก" ตอนนั้นกำลังช๊อค ใครพูดอะไรก็ทำตาม
นังแม่ไข่ปลาก็เอื้อมมือไปจับ แล้วหันไปบอกพ่อไข่ปลาแบบหน้าเจื่อนๆ
"2 ลูกจริงๆด้วยฮันนี้" เลยรีบโทร.ไปบอกเจ้าของแมว แถมคอนเฟิร์มไปด้วยว่า
"พี่ได้จับไข่มันแล้วด้วย"

[อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ คลีนิกนังหมอผู้หญิงคนที่น้องปลาพาลูกแมว
ไปแยกเพศเนี่ย มันอยู่ที่ไหนฟะ อยากไปเผาให้วอดจริงจริ๊ง]

ตอนแรกแม่ไข่ปลาก็เกือบใจอ่อน ตัวผู้ก็ได้ (เสียงอ่อย) ทำหมันเอา
แต่พอหมอบอกว่า ถึงแม้ทำหมันแล้ว แต่นิสัยตัวผู้ที่ยังชอบฉิ๊งฉ่องนอกกระบะทราย
ก็ยังไม่หมดไปหรอกนะ พ่อไข่ปลาก็ปฏิเสธแบบหัว(และพุง)ชนฝา เพราะกลัวว่า
คอนโดหรู 67 ตร.ม. จะอวลไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เราเลยจำใจต้องเอา
น้องแมว(ที่เกือบจะมาเป็นสามีน้องไข่ปลา)ไปคืนเจ้าของ และนี่คือรูปของน้องแมว
ที่ทำให้แม่ไข่ปลาเกือบเสียน้ำตาเพราะความเสียดาย อุ้มแป๊บเดียวก็หลงรักไปแล้ว
























แต่..เราก็ยังมีความหวังว่า ไปเอาตัวเมียอีกตัวมาแทนก็ได้ เราไม่เลือกแล้ว
ขอให้ได้น้องสาวมาเป็นเพื่อนเล่นกับคาเวียร์ก็พอใจแล้ว พอไปถึงบ้านน้องปลา
เพื่อความชัวร์ ก่อนจะผิดหวังซ้ำซ้อน เลยเอาน้องแมวอีกตัว (ที่เค้าบอกว่าเป็นตัวเมีย)
มาดูระยะห่างของสองรู (วิตถารอีกแล้วผัวเมียคู่นี้) "เวร..ทำไมเหมือนตัวตะกี๊เลย"
(ไหนลองคลำดูซิ) "ชัวร์" แม่ไข่ปลาหันไปมองพ่อไข่ปลา "มีไข่สองใบอีกแล้ว"
สรุป.. กินแห้วกันพุงกาง ดวงมันจะไม่ได้ของฟรี ใครจะไปคิด ลูกแมวออกมาสี่ตัว
มีไข่ทั้งหมดแปดใบ และที่สำคัญ นังแม่ไข่ปลาคลำมาหมดแล้น

ยั๊งงงง...ยังไม่หมดความตั้งใจ ก็คาเวียร์อายุ 4 เดือนกว่าแล้ว
เท่าที่ศึกษามา เค้าบอกว่า ไม่ควรจะให้อายุแมวต่างกันมาก ประเดี๋ยวจะเข้ากันลำบาก
ออกจากบ้านรุ่นน้องปั๊บ นังแม่ไข่ปลาก็รีบโทร.หาคนที่ขายคาเวียร์มาให้
พอคุณหนึ่งรับสาย แม่ไข่ปลายิงคำถามทันที "มีลูกแมวตัวเมียมั๊ยเค๊อะ"
(ดวงมันจะเสียเงินอ่ะนะ) "มีสามตัวครับ" แล้วก็เหมือนเดิม นัดแนะกันมาดูตัว ถูกใจ
หิ้วขึ้นรถกลับบ้าน แอบนึกดีใจอยู่ว่า น้องสาวคาเวียร์ตัวนี้มาจากพื้นเพเดียวกันเรย
เป็นเด็กนอก(เมือง)เหมียนกัลลล

และนี่คือโฉมหน้าของน้องแชมเปญ (ฝีมือถ่ายรูปด้วยมือถือของน้าเอ๋อเจ้าเก่า)
























ใต้ตาดำเล็กน้อย (เหมือนแม่ไข่ปลาเลยนิ) ต้องรอสั่งที่เช็ดคราบน้ำตาก่อน
เค้าบอกว่าใช้ทาใต้ตาวันละครั้ง น้ำตาจะไหลน้อยลง คราบน้ำตาก็จะหายไป
ใต้ตาจะขาวใส (ฟังดูดี ใช้กับคนได้มั๊ยนิ)

โกลาหลก็มาเยือนอีกครั้ง เหมือนญาติสนิทที่มาเยี่ยมแบบไม่ได้เชื้อเชิญ
พอเอาแชมเปญเข้าบ้านเท่านั้นแหล่ะ คาเวียร์ก็ออกอาการกริ้วอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากแชมเปญจะเข้าใกล้ไม่ได้แล้ว เผลอๆคาเวียร์จะเดินมาตบหน้าแชมเปญซะงั้น
น้องเดินเฉียดไปนิด พี่ก็ขู่ "ฝ่อๆ แห่ๆ" แยกเขี้ยวโง้งให้พ่อแม่ขวัญกระเจิงกันเป็นระยะๆ
อาการหงุดหงิดเหมือนวัยทองนี้ ไม่ได้เป็นกับแชมเปญแค่นั้น
พ่อแม่ไข่ปลาก็โดนไปด้วย คาเวียร์หันบั้นท้ายให้ตลอด อุ้มทีไรก็ทำเสียงจึ๊จ๊ะ อิ๊อ๊ะ งี๊ดๆ
ไม่พอใจ แดดิ้นจะลงให้ได้ ปกติที่ยอมให้หวีขนทำสวย ก็ไม่ยอม
ทำท่าจะหันมาแว้งกัดด้วยซ้ำ

วันที่สองเป็นวันที่หนักใจที่สุด พ่อแม่ไข่ปลาต้องช่วยสงบศึกสายเลือดกันทั้งวันทั้งคืน ตอนพานั่งรถไปบ้านตายาย คาเวียร์แยกไปนั่งเข้ามุมตัวเดียวเลย ทำหน้าแบบเบื่อโลก
หน้าตาดูแก่ตั้งแต่อายุ 4 เดือน แต่สงสัยแชมเปญจะเมารถ
นอนแผ่ตั้งแต่สาทรยันลำลูกกา
























คืนนั้น หลังจากที่โดนตบไปหลายฉาด แชมเปญดูท่าจะรู้สถานะของตัวเอง
ว่าเป็นน้องใหม่ ต้องเคารพพี่ใหญ่ เลยไม่ไปแย่งที่นอนชั้นบนของพี่คาเวียร์
นอนอย่างนอบน้อมที่ชั้นสอง
























แต่...แม่ไข่ปลาแอบหันไปเจออยู่หนนึง ตอนที่แชมเปญหันหัวไปทางเดียวกับคาเวียร์
แล้วดันเงยขึ้นไปดูพี่สาว คาเวียร์รอจังหวะอยู่แล้ว เลยตบกบาลน้องไปฉาดเบ่อเริ่ม

ฟังดูขำนะ แต่แม่ไข่ปลาเครียดมาก อยากร้องไห้ น้ำตาซึมไปหลายรอบ
กลัวคาเวียร์จะมีนิสัยเกรี้ยวกราด ไม่น่ารักเหมือนเดิม กลัวคาเวียร์จะน้อยใจ
คิดว่าพ่อแม่จะปันรักให้น้องสาว ซึ่งจริงๆแล้ว ที่เราทำเนี่ย ก็เพื่อคาเวียร์เท่านั้น
กลัวคาเวียร์จะเหงา เวลาที่แม่ไข่ปลาจะต้องไปทำงาน คาเวียร์จะได้มีเพื่อนเล่น
เลยหาน้องสาวมาให้ แต่ดูเหมือนคาเวียร์จะไม่เข้าใจ บึ้งตึงใส่พ่อแม่ตลอด
คืนนั้นเลยนอนไม่หลับ งัด Encyclopedia แมวมาอ่าน หา section ที่เกี่ยวกับการ
เอาแมวใหม่เข้าบ้าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งเครียด เพราะเค้าบอกว่า อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ
อาทิตย์นึงหรือมากกว่านั้น เพื่อให้แมวตัวเก่ายอมรับตัวใหม่
เฮ้อ...นานอย่างงั้นเลยเหรอ

เช้าวันรุ่งขึ้น ได้ยินเสียงลูกแมวกรี๊ดๆ สะดุ้งลุกพรวดลงจากเตียง นึกในใจ ตายละหวา
คาเวียร์กินแชมเปญเป็นอาหารเช้าแล้วมั๊งเนี่ย แต่พ่อไข่ปลา พอเห็นแม่ไข่ปลาหน้าตื่น
ก็รีบบอกว่า "มันเล่นกันอยู่" เพียงแต่ว่า คาเวียร์ยังไม่รู้ว่าตัวเองเล่นแรงไป
เห็นแล้วสงสารแชมเปญจับใจ เพราะู้นังพี่ไข่ปลายืนคร่อมน้องแชมเปญ
แล้วงับคอกดเอาไว้กับพื้น ขอสาบานแบบไม่กลัวฟ้าผ่าว่า แม่ไข่ปลาไม่เคยเปิดมวยปล้ำ
ให้คาเวียร์ดู

ตอนนี้ศึกสงบแล้ว ไม่มีการขู่ ไม่มีการงอน คาเวียร์กลับมาออดอ้อนเหมือนเดิม
แล้วก็โชคดีที่แชมเปญเป็นแมวที่สุขภาพจิตดี ไม่มีซึม ขี้เล่นมาก ฉลาดแกมโกงด้วยซ้ำ
พี่คาเวียร์น้องแชมเปญเลยรักกัน ไปไหนไปกัน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
Happy Ending :D



















ตอนนี้ยังไม่สามารถจับภาพตอนพี่น้องคู่นี้เล่นกันได้ เนื่องจากมีความเร็วสูง
เคลื่อนไหวเป็นนินจา เหมือนมีอะไรแว๊บไปแว๊บมาอยู่สองก้อน
เลยขอเอารูปตอนที่แชมเปญเล่นจนหมดสภาพ มานอนสลบอยู่บนเตียงมาให้ดูก่อน
ไว้ถ่ายรูปตอนพี่น้องหยอกกันได้เมื่อไหร่ จะรีบเอามาโพสต์ทันทีจ้าาา

หนีพี่คาเวียร์มาลี้ภัยบนเตียง
























แล้วทำท่าเหมือนจะเล่นกับแม่ไข่ปลา แต่แล้วแชมเปญก็หงายเงิบหมดสติไปซะงั้น
























สงสัยว่าจะติดกอดหมอนข้างด้วยนะเนี่ย
























น้าๆขาาา นู๋แชมเปญน่ารักมั๊ยค๊ะ อยากมาให้ทองรับขวัญนู๋มั๊ยเค๊อะ
(อิอิ แม่ไข่ปลาแอบหยอด เผื่อฟลุ๊ค)

Thursday, June 5, 2008

แมวภูเขา (ภาค 2)

ในขณะที่ลูกๆหลานๆสนุกสนานกับกีฬาไล่จับไข่ปลา
เบิร์ตก็พยายามเป็นเจ้าบ้านที่ดี ชวนพวกผู้ใหญ่เล่นกิจกรรมในร่ม และต้องขอมอบรางวัลชนะเลิศอุปกรณ์รวมให้กับคุณพ่อลูกสามหลานสองคนนี้

เบิร์ตโม้ตั้งแต่ก่อนเราจะไปแล้วว่า ได้โต๊ะพูลมาอย่างหรู ทั้งๆที่กำลังจะย้ายไปออสฯแล้ว
แต่ราคาโต๊ะพูลมือสองนี้มันช่างยั่วยวนใจเหลือเกิน จนต้องไปซื้อมา แล้วก็ไม่ผิดหวัง
เพราะสามหนุ่มสามมุม(ป้าน) โอป นัย เบิร์ต เล่นกันไม่รู้กี่ร้อยเกม ราเชล(เมียสวยเซ็กซี่
ของเบิร์ต)ก็มาแจมด้วยหนสองหน โดยมีเด็กๆผละจากคาเวียร์มาเชียร์บ้างเป็นครั้งคราว
ส่วนแม่ไข่ปลาขอบาย นั่งเชียร์ Fedex แข่งFrench Open ติดขอบทีวี
























พูดถึงราคาโต๊ะพูลนี้ แม่ะ..มันถูกจริงๆ ไม่ใช่ถูกขนาดพันสองพันหรอกนะ
แต่พอเห็นสภาพของโต๊ะและไม้แล้ว คุ้มมากกกก เราเลยถามเบิร์ตว่าไปได้มาจากไหน
"กรุงเทพ" แถมมีการบ่นตบท้ายว่า "แ-่ง ค่าขนมาปากช่องแพง(เรือ)หาย"

[แหล่งช้อปปิ้งของเบิร์ตนี่น่าสนใจมาก เป็นเว็บไซต์ขายของมือสอง ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของ
เป็นฝรั่งที่มาทำงานอยู่เมืองไทย พอจะย้ายกลับประเทศตัวเอง ก็เอาของมาขึ้นเว็บขาย
ลองไปดูกันนะคะ www.bambiweb.org แล้วไปที่ classified ads]

อุปกรณ์อีกอย่างที่เบิร์ตนำมารับแขกก็คือ Casino Set มาในรูปแบบของกระเป๋าหนังเล๊ย
มีทั้งชิพ (ทำจากเซรามิค)ไพ่สองสำรับ ที่แจกไพ่แบบในคาสิโน ฯลฯ























ที่ขำคือ ทุกอย่างใหม่กิ๊ก ซื้อมาแล้วสามปี ยังไม่เคยมีใครมาเล่นด้วย
ก่อนเริ่มเล่น เราต้องมาช่วยกันแกะพลาสติก แกะกล่องกันก่อน
ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าทริปนี้เราไม่มา เบิร์ตจะขน set นี้กลับไปออสฯมั๊ยเนี่ย

ไปถึงปากช่องแล้วอยู่แต่ในร่ม เดี๋ยวตัวขาวซีด(กว่าเดิม)กลับกรุงเทพ
เลยขอให้เบิร์ตพาเดินเที่ยวชมกิจการบ้างบางส่วน ตอนแรกว่าจะพาคาเวียร์ไปเดินด้วย
อุตส่าห์ซิ้อสายจูงเตรียมไปแล้วนะ แต่บริวารของครอบครัวนี้ตัวยักษ์เหลือเกิน
เลยให้น้องไข่ปลานอนเฝ้าบ้านดีกว่า

เบิร์ตชี้นิ้วอย่างมืออาชีพ
























ดอกกล้วยไม้จากฟาร์มเบิร์ต สวยมากกกก
























นี่แค่ส่วนหนึ่งของฟาร์มเท่านั้น








บริวารยักษ์บางตน เอ้ย ตัวของเบิร์ต























พอกลับจากทัวร์ พ่อไข่ปลารีบแจ้นไปปลอบลูกทันที แต่กลิ่นน้องหมาติดเต็มตัว หุหุ






















พูดถึงพ่อไข่ปลา ทริปนี้ไม่ค่อยได้แสดงฝีมือเท่าไหร่ เพราะราเชลเองก็ชอบทำอาหาร
และเบิร์ตก็อยากให้โอปได้พักจริงๆ แต่เมนูที่ทุกคนเรียกร้อง โดยเฉพาะแม่ไข่ปลาก็คือ
มันบด ใครได้ชิม เป็นต้องเ่อ่ยปากชม เพราะเครื่องถึงจริงๆ นมเป็นนม เนยเป็นเนย
ราเชลหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องจำสูตรให้ได้ เห็นราเชลจ้องโอปทำอาหารแล้วอดนึกถึง
คุณแม่ลูกสามไม่ได้ เหมือนกันจริงจริ๊ง อิอิ (ขอพาดพิงเล็กน้อยนะคะคุณแม่)















ขอตบท้ายบล๊อกนี้ด้วยรูปงามๆหลายๆอิริยาบถของลูกสาว
























และครอบครัวของเบิร์ตที่เหมาะเหม๋งกับครอบครัวเหวียง
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ลำดับและจำนวนของลูกชายและลูกสาว
























อ้อ..ขออีกนิด ไม่แฉเรื่องลูกสาวตัวเองแล้วนอนไม่หลับ
นี่คือสภาพของน้องไข่ปลาไฮโซเมื่อตอนถึงกรุงเทพ ไปนั่งพักกันที่บ้านนัย
(ท้ายสุดก็ติดลมยันตี 1) หลังกินข้าวเสร็จ คาเวียร์ก็หลับแบบตายังเปิดอยู่
เอามือไปโบกข้างหน้าก็ไม่มีกระดิก ไม่มีเปลี่ยนท่าเป็นชั่วโมงๆ
พ่อแม่ไข่ปลาต้องไปเช็คอยู่เป็นระยะๆว่ายังหายใจอยู่รึเปล่า
ออกต่างจังหวัดครั้งแรก กลับมากลายเป็นไข่ปลาหมดสภาพเลยลูกฉั๊น

Wednesday, June 4, 2008

แมวภูเขา

ตั้งชื่อเรียกร้องความสนใจไปเท่านั้นแหล่ะ
แต่จริงๆก็แค่พาน้องไข่ปลาไปเที่ยวเขาใหญ่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
จะว่าไปแล้ว ไม่ได้ขึ้นเขาใหญ่ด้วยซ้ำ ไปอยู่แค่ปากช่องเอง

เบิร์ต เพื่อนแม่ไข่ปลาสมัยอยู่ี่เซ็นต์จอห์น ที่ทำฟาร์มกล้วยไม้อยู่ปากช่อง
เชื้อเชิญมาว่า มีแนวโน้มที่เค้าและครอบครัว (เมียออสซี่หนึ่งลูกครึ่งอีกสาม)
จะย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลีย เพราะฉะนั้น ให้รีบมาเที่ยวด่วน ตอนแรกมีท่าทีว่า
จะมีสมาชิกไปกันเยอะ แต่ยิ่งใกล้วันออกเดินทาง สมาชิกก็ค่อยๆหดเหือดหายไปหมด
แม่ไข่ปลาก็เปื่อยเสียงแหบแห้ง ทั้งคัดทั้งแสบจมูก จะยกเลิกอีกคนก็เกรงใจ
แล้วก็อยากจะไปเยี่ยมเพื่อนด้วย เอาฟะ ไปก็ไป สรุปว่า สมาชิกประกอบด้วย
สามคน (พ่อ-แม่ไข่ปลา และเพื่อนซี้ที่ซ.จ.) กับอีกหนึ่งตัว (น้องไข่ปลาไฮโซ)

เราออกเดินทางกันเย็นวันศุกร์ที่ 30 พ.ค. โดยที่พ่อกับแม่ไข่ปลาเอารถไปจอดไว้
ที่บ้านเพื่อนแถวรามอินทรา เพื่อจะนั่งแอคคอร์ดใหม่ (อิอิ แผนสูงมะ)
ล้อหมุนจริงๆก็ตอนประมาณทุ่มครึ่ง อากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ฝนตกพรำๆ
ขับรถเร็วไม่ได้ เลยกะว่าคงต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งกว่าจะไปถึง
ปรากฏว่า ไม่ใช่แค่สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ เพราะพอถึงทับกวาง (แก่งคอย)
รถก็หยุด ติดกันเป็นแพซะงั้น มีสภาพเหมือนลานจอดรถมิมีผิดเพี้ยน แบบนี้
























ขอบอกว่าเป็นชั่วโมงครับ ทั้งคนขับทั้งผู้โดยสารผลัดกันออกมาก่อม๊อบ (อินเทรนด์ซักนิด)
คาเวียร์น่ะเหรอ จากที่ชอบงีบบนรถเป็นชีวิตจิตใจ ยังเริ่มอยู่ไม่สุข แต่ทำอะไรไม่ได้
แล้วก็ต้องกลับไปหลับเหมือนเดิม
























เพื่อนก็โทร.ตามตลอด เราเลยบอกให้ลองหาข้อมูลดูว่าเป็นเพราะอะไร
เค้าเลิกใช้ถนนเส้นนี้กระทันหันรึไง (อารมณ์นี้หาเรื่องวีนสุดชีวิต)
ท้ายที่สุดเพื่อนโทร.มาบอกว่า ป้าย "ทรงพระเจริญ" โดนพายุหล่นมาขวางถนน
อีกซักพักก็จะเคลียร์ได้แล้ว พักเท่าไหร่ไม่รู้แหล่ะ แต่ที่แน่ๆ
รถเลี้ยวเข้าฟาร์มกล้วยไม้ตอนเที่ยงคืน หิวโซหมดสภาพทั้งคนทั้งแมว
แต่ก็นั่งกินนั่งเม้าท์กันจนถึงตีสามกว่าจะแยกย้ายกันไปนอน

ทริปนี้ไม่มีหวังที่จะได้นอนตื่นสาย เพราะเด็กๆรู้ว่าคาเวียร์มาเยี่ยม
เด็กตื่นเมื่อไหร่ ก็จะมาเคาะห้อง (ถ้าไม่ตื่นก็เคาะใหม่) จะให้คาเวียร์ออกไปเล่นด้วย
วันเสาร์คงเป็นวันที่คาเวียร์หมดสภาพที่สุด เพราะไหนจะเหนื่อยจากการเดินทาง
มาเจอเด็กๆรุม(ซะ)โทรม (ศัพท์อาจจะไม่เหมาะสม แต่ความหมายเพ๊ะ) เกือบทั้งวัน
ไม่ว่าคาเวียร์จะพยายามไปหลบอยู่ที่ไหน จะมีลูกเบิร์ต 3 คน บวกหลานเบิร์ตอีก 2 คน
ตามกันเป็นพรวน ผลัดกันอุ้มอย่างเมามันส์ แต่คาเวียร์ก็น่ารักมากกก ไม่มีแว๊ดใส่เด็กๆเลย












































คาเวียร์จะมีเวลาพัก(ฟื้น)บ้างครั้งคราวเวลาที่เด็กๆตัดสินใจไปทำกิจกรรมอื่น
ชาร์ล็อตเลือกมาเล่นของเล่น ออสตินไปช่วยน้าโอปทำกับข้าว โจน่าห์เล่นเกมกับน้าวินัย
























ส่วนคาเวียร์ ไปนั่งเอวคอดท้าทายพี่เบิ้มข้างนอกแบบสบายใจเฉิบ



















หุหุ แต่จะย่องไปเฉพาะเวลาที่เค้าหลับกันไปหมดแล้วเท่านั้นนะค๊ะ
เจอกันจังๆเดี๋ยวพวกพี่พังประตูเข้ามา แล้วน้องไข่ปลาจะไปทำเค้าสำลักติดคอเดี้ยงกันหมด

แม่ะ..ตอนแรกว่าจะเล่าให้หมดทั้งทริป แต่แม่ไข่ปลาหมดแรงซะก่อน
ขอต่อภาคสองภายในวันสองวันนี้ก็แล้วกันเน๊อะ

Wednesday, May 21, 2008

ชายหรือหญิง

อ๊ะๆ อย่างเพิ่งด่วนสรุปจากชื่อเรื่องว่าน้องไข่ปลาจะมีพฤติกรรมสับสนทางเพศแต่อย่างใด เพราะแค่สับสนทางสายพันธุ์ก็เป็นที่โจษขานกันพอแล้ว นี่ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ค. พาคาเวียร์ไปออกงานวันเกิดของเพื่อน แขกที่งานทุกคนก็ชมน้องไข่ปลาว่า น่ารักอย่างโน้นอย่างนี้ ไอ้เราก็หน้าบาน(กว่าเดิม) คาเวียร์ก็เหมือนบ้ายอ ยิ่งมีคนชม ก็ยิ่งวิ่งรอบห้อง โชว์พาวว์สุดชีวิต และแล้วก็ถึงคราวเปิดเผยสายพันธุ์ที่แท้จริง ของคาเวียร์ต่อหน้าสาธารณชนที่งานเลี้ยง เมื่อมีน้องคนนึงพยายามจะมาสอน พร้อมสาธิตแม่ไข่ปลาให้ดูว่า แมว(ปกติทั่วไป)เค้าชอบเล่นอะไรยังไงกัน
"พี่ต่อ พี่ต้องไปเอากระดาษทิชชู่มานะ ทำให้หมาดน้ำหน่อยๆ แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ อย่าใหญ่มาก แต่ก็อย่าเล็กเกินไป แล้วกลิ้งให้เค้าเล่น เพราะแมวเนี่ย จะชอบใช้สองเท้าหน้าเขี่ยก้อนทิชชู่ไปมา" ว่าแล้วน้องเค้าก็ดีมอนสเทรตให้เห็นกับตา เริ่มแรกไปได้งามเลยทีเดียว คาเวียร์ใช้สองแขน เอ้ย สองขาหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีน้องคนนี้กลิ้งก้อนทิชชู่โต้ตอบ เผลอแป๊บเดียว น้องเค้าร้องขึ้นมาว่า "เฮ๊ยยย" ทุกคนรวมทั้งพ่อและแม่ไข่ปลาก็หันไปมอง คาเวียร์ค่ะ หรือนังน้องไข่ปลานี่แหล่ะ คาบก้อนทิชชู่หน้าตั้งวิ่งหนีไปซะงั้น น้องเค้าก็มองตามแล้วบอกว่า "ผมไม่เคยเห็นแมวคาบของวิ่งหนีอ่ะ เหมือนหมาเลย" แม่ะ ... พ่อแม่ไข่ปลาได้แต่อมยิ้มอย่างภูมิใจ

เหมือนหมาเหมือนแมวนี่มันยังดูได้ง่ายเน๊อะ แต่ชายหรือหญิง เพศที่แท้จริงของคนยังดูยากเล๊ย นับประสาอะไรกับเพศแมว (แ่ห่ะๆ เอาไปโยงกันง่ายๆซะงั้น)

เนื่องจากแม่ไข่ปลาจะต้องกลับไปทำงานรับใช้มหาวิทยาลัยในเร็ววันนี้ และรู้แล้วว่าตารางการทำงานนั้นค่อนข้างจะเอี้ยดมากๆ เลยอยากจะหาน้องสาวแมวเหมียวมาเป็นเพื่อนเล่นกับคาเวียร์ ตอนแรกว่าจะไปซื้อมา
โทร.นัดเจ้าของไว้แล้วด้วย ตัวสีเทา น่าร๊ากกกก แต่หนึ่งวันก่อนจะไปซื้อ มีรุ่นน้องคนนึงโทร.มาบอกว่าแมวเปอร์เซียที่บ้านออกลูกมา 4 ตัว จะให้ 1 ตัว เราเลยบอกว่าอยากได้ตัวเมียนะ น้องเค้าก็บอกว่า ตอนนี้ยังดูเพศไม่ออก สีอะไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ไอ้เราก็นึกว่า น้องคนนี้อ่อนหัดจริงๆ มันจะไปยากอะไร๊ แต่ไม่เป็นไร เราไม่รีบอยู่แล้ว รอให้ลูกแมวกินนมแม่ไปซักเดือนนึงก่อน แล้วค่อยมาเลือก ก่อนครบเดือน น้องเค้าโทร.มาอีก อยากให้เรามาเลือกไว้ว่าจะรับตัวไหนไปเลี้ยง แต่เค้าก็ยังดูเพศไม่ออกเหมือนเดิม เพื่อความชัวร์ เราเลยโทร.ไปปรึกษาหมอต้อมเจ้าเก่า หมอคอนเฟิร์มว่า การดูเพศของลูกแมวนั้นค่อนข้างยากมาก แต่หมอให้ข้อสังเกตว่า "ถ้ารูฉิ้งฉ่องกับรูอึ๊มันอยู่ติดๆกัน ก็เป็นตัวเมีย ถ้ามีระยะห่างระหว่างสองรูนี้ ก็เป็นตัวผู้"

ฟังดูไม่น่ายากนิ พ่อแม่ไข่ปลาเลยพกความมั่นใจไปเต็มกระเป๋า เราใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง กับการแหวกขาหลังของลูกแมวทั้งสี่ตัว ตัวละล้านรอบได้มั๊ง น้องเจ้าของแมวอดขำไม่ได้ แถมวิจารณ์ประมาณว่า "ผัวเมียคู่นี้ดูโรคจิต(วิตถาร)จัง" หึหึ แต่ท้ายที่สุด สองผัวเมียนี้ก็ต้องถอยทัพกลับบ้าน มาโดยที่ไม่รู้เพศแมวซักกะตัว แถมกลับมาบ้าน ยังมาแหวกดูของคาเวียร์อีก มันเจ็บใจว่าทำไมมันดูไม่ออกอ่ะ แต่เราก็ยังไม่ละความพยายาม อาทิตย์ต่อมาพ่อแม่ไข่ปลาอาสาพาลูกแมวไปคลีนิกสัตว์ แถวบ้านเจ้าของแมว ไม่อยากจะบอก หมอนะ ทั้งแหวกขา ทั้งลูบ ทั้งคลำ ทั้งบีบ (ติดเรทเล็กน้อย ผู้ปกครองควรพิจารณา) ท้ายสุด หมอบอกว่า "มันดูยากจริงๆนะเนี่ย หมอก็ยังไม่อยากฟันธง สิ้นเดือนพามาให้ดูอีกทีก็แล้วกัน" เหอ เหอ ขนาดหมอยังถอยเลย นับประสาอะไรกับพ่อแม่ไข่ปลามือใหม่หัดเลี้ยงแมวอย่างเรา

มีรูปมาฝากด้วยนะ อิอิ อย่าเพิ่งต๊กกะใจกัน ไม่ได้ไปถ่ายรูปอวัยเพศแมวมาหรอกค่ะ แม่ไข่ปลาเคยไปปรึกษาพี่ใจดีคนนึงเกี่ยวกับเมล็ดข้าวสาลีที่จะเอามาปลูกให้คาเวียร์กิน (พี่คนนี้ส่งเมล็ดข้าวมาให้ทดลองปลูกฟรีๆเลย)และพี่ใจดีคนนี้ก็ได้ส่งรูปการดูเพศแมวมาให้ดูด้วย ถือซะว่า เป็นเพศ(แมว)ศึกษาก็แล้วกันนะคะ


















เดี๋ยวเจ้าป้าจะเคือง หาว่าไม่มีรูปน้องไข่ปลามาให้ชมเชย เอาเป็นแบบรวมมิตรเลยละกัน




















อ้อ...พี่ใจดีคนที่ต่อปรึกษาเรื่องเมล็ดข้าวสาลีเค้าฝากประชาสัมพันธ์มาว่า ถ้าใครอยากได้แมวไปเลี้ยงที่บ้านแบบฟรีๆ จะมีโครงการที่ช่วยหาบ้านให้น้องแมวเหมียว
ที่สวนจตุจักรประมาณวันที่ 30 พ.ค.นี้ มีแมวหลายเพศ หลายพันธุ์และหลายวัย มาให้เลือกเพียบ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อกลับมาได้เลยนะึคะ

Friday, May 9, 2008

น้องไข่ปลา หมาหรือแมว?

วันนี้ไปเจอป้าเป้มา นั่งคุยถึงคนนู้นคนนี้เป็นชั่วโมง (เอ..มันเหมือนนินทารึเปล่าน้อ)
ตั้งใจจะไปขอยืมตำรามาเตรียมการสอนแท้ๆ เม้าท์ซะเกือบลืม ต้องกลับบ้านมา
มือเปล่าซะแล้น ก็นะ คุยไปกินไป เพลินซะไม่มี

ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องลูกๆหลานๆ คนนั้นน่ารักอย่างนั้น คนนี้น่ารักอย่างนู้น
พอป้าเป้ถามถึงคาเวียร์ แม่ไข่ปลาเลยได้โอกาสโอ้อวดสรรพคุณซะเป็นขบวน
เลยถือโอกาสมาเล่าซ้ำออกสู่สาธารณชนอีกครั้ง

สรรพคุณอันโดดเด่นของน้องไข่ปลาไฮโซก็คือ คุณเธอมีนิสัยใจคอหลายๆอย่าง
เหมือนน้องหมา ซึ่งต้นเหตุก็มาจากแม่ไข่ปลานี่เแหล่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร
จนกระทั่งเพื่อนมาที่บ้าน แล้วพยายามจะเรียกคาเวียร์ โดยใช้เสียง เมี๊ยวๆ
เรียกเท่าไหร่เจ้าหล่อนก็ไม่สนใจ ตาไม่มอง หูไม่กระดิก เพื่อนเลยถามว่า
มันหูหนวกรึเปล่า ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เราไม่เคยใช้เสียงเมี๊ยวเรียกคาเวียร์เลย
ทุกครั้งจะทำเสียงจุ๊ๆกับผิวปาก จนถึงทุกวันนี้ คาเวียร์ก็ยังไม่รู้จักเสียงเมี๊ยวๆ
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันก่อนมีเสียงแมวกัดกันดังมากกกก ไอ้เราก็หันไปดูคาเวียร์ อยากเห็นว่าจะมีอาการอะไรยังไงมั๊ย แต่ปรากฏว่าเฉยค่ะ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น

นิสัยอีกอย่างที่แม่ไข่ปลาสังเกตคือ คาเวียร์หูดีมาก เวลาได้ยินเสียงว่าโอปกำลังจะเดิน
มาเปิดประตูเข้าบ้าน จะทำหูตั้ง ตาตื่น เราก็เลยส่งเสริมโดยการทำเสียงตื่นเต้นว่า
"ใครมาอ่ะ ใครมา" เจ้าหล่อนก็จะวิ่งหน้าตั้งไปรอรับโอปทันที แต่จะไปแค่นั่งรอ
ให้อุ้มเท่านั้นนะ ไม่มีการกระโดดโลดเต้นมาเกาะขาเหมือนหมา ถ้าทำได้คงเริ่ดน่าดู

นอกจากนี้ แม่กับลูกไข่ปลาจะชอบวิ่งไล่จับกันบ่อยๆ ตอนนั้นโทร.คุยกับพี่คนนึง
ที่ดูแลชมรมคนนิยมแมว ก็เล่าให้แกฟัง แกก็บอกว่า แมวชอบให้วิ่งไล่ เราก็บอกว่า
ของเรามีผลัดกันด้วยนะ ผลัดกันวิ่งไล่ พี่เค้าก็อึ้งๆ แล้วบอกว่า "ปกติแมวไม่ค่อย
วิ่งไล่คนหรอก พี่ว่า เหมือนหมาเลยค่ะ" ภูมิใจจังเลยวุ้ย เลี้ยงแมวเป็นหมาได้

ช่วงที่โม้เรื่องคาเวียร์ ป้าเป้ถามว่า คาเวียร์ทำธุระหนักเบาที่ไหน ยังไง
เป็นที่เป็นทางรึเปล่า อย่างที่เคยเล่าว่า ตอนที่คาเวียร์มาอยู่ใหม่ จะชอบฉี่ใกล้ๆ
กล่องกระดาษ ต้องคอยวิ่งไปอุ้มมาใส่กระบะทราย (แต่เรื่องอึ๊ไม่มีปัญหา)
มีคนที่คอนโดฯแนะนำว่า เวลาเอาทิชชู่ไปเช็ดฉี่แล้ว ให้เอาทิชชู่อันนั้นมาใส่
กระบะทราย เค้าจะได้ตามมา แล้วก็ได้ผล ทุกวันนี้คาเวียร์มีวินัยสูงมาก
ทำธุระหนักเบาในกระบะทรายทุกครั้งไม่มีบกพร่อง แถมกลบซะมิดชิดอีกด้วย

ตบท้ายด้วยรูปกิจวัตรของคาเวียร์ กิน นอน เล่น แล้วก็ปล่อยของเสีย













ต้องขอขอบคุณคุณแม่ลูกสามสำหรับโปรแกรมจัดรูปด้วยนะคะ
ดูไฮโซขึ้นเยอะเลย

Monday, May 5, 2008

ของเหลือแบบหรู

เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พ่อกับแม่ไข่ปลาต้องไปออกงาน หึหึ สร้างภาพอีกละ ลืมตัวทุกที จริงๆแล้วไปปาร์ตี้ี้ธรรมดาๆเท่านั้นแหล่ะ งานแรกนี่ไปสังสรรค์ drink drank drunk กับเพื่อนพ่อไข่ปลา ส่วนงานที่สองเป็นเบิร์ธเดย์ปาร์ตี้ของพี่เขยแม่ไข่ปลา แต่ไม่ว่าจะเป็นงานของญาติโยมฝ่ายไหน พ่อไข่ปลาก็ต้อง cook เองอยู่ดี เพราะแม่ไข่ปลาเก่งแต่ช่วยเจ้ากี้เจ้าการอย่างเดียว ถึงแม้ว่าจะลงมือทำอาหารเองไม่เป็น แต่แม่ไข่ปลามักจะมีประโยคที่พ่อไข่ปลาต้อง(ทน)ฟังอยู่เสมอๆ เช่น ไม่ต้องใช้อันนี้เหรอ แล้วทำไมไม่ใส่อันนี้ก่อน น่าจะทำอันนี้ก่อนนะ ฯลฯ ซึ่งแม่ลูกสามก็เคยเห็นมากับตา และยังต้องเตือนสติแม่ไข่ปลาอยู่บ่อยๆว่า "น้องต่อ โอปเค้าถือมีดอยู่นะ" โอปก็จะตอบอย่างใจเย็น เสียงต่ำๆว่า "ไม่เป็นไรหรอกพี่วิตตี้ มีดผมคม" ประมาณว่า โดนเข้าไปก็ไม่รู้สึกหรอก แถมแผลก็สวย บรึ๊ยยยย
เอ๊...ไหงมาเรื่องนี้ได้ วกกลับไปเรื่องเมนูของพ่อไข่ปลาต่อละกัน

สำหรับปาร์ตี้แรก พ่อไข่ปลาทำ Fusilli Bolognese (ชื่อฝรั่งนี่มันไฮโซจริงๆ) หรือเรียกอีกอย่างนึงว่า พาสต้าเส้นเกลียวซ้อสหมู (ทำไมพอเป็นภาษาไทยแล้วมันบ๊านบ้าน) เรื่องของเรื่องคือ เมื่อประมาณเดือนกว่าๆมาแล้ว พ่อไข่ปลาได้มะเขือเทศมาถุงนึง ตั้งใจมากว่าจะเอามาทำซ้อส และจะแยกเป็นถุงๆไว้ในฟรีซเซอร์ เพื่อที่ว่าเวลาแม่ไข่ปลาหิว แค่เอา่เนื้อสัตวใส่์ลงไปเคี่ยวอีกแป๊บนึง ก็กินได้แล้ว หึหึ ผ่านไปเป็นเดือน ถุงซ้อสอยู่ครบ พ่อไข่ปลาบ่นแทบทุกวันว่าเมื่อไหร่จะทำกินเองมั่ง พอเพื่อนโทร.มานัด แม่ไข่ปลาเลยได้โอกาสเหมาะ ออกไอเดียกลโกงไปว่า "ฮันนี้ทำพาสต้าไปสิ" แถมยัง(กล้า)พูดต่อไปอีก "มีซ้อสอยู่แล้วนิ ใส่เนื้อไปอีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว" สำมะเร็จ (ไม่รู้ว่าหลงกลจริงๆหรือขี้เกียจด่าเราก็ไม่รู้) ฮันนี้ก็ออกไปซื้อหมูสับ เพราะเพื่อนคนนึงไม่กินเนื้อ แล้วก็กลับมาทำซ้อสหมูหม้อเ้บ้่อเริ่ม (ก็เอาถุงเล็กๆมาใส่รวมกันนั่นแหล่ะ) พร้อมลวกเส้นเกลียวอีก 2 ห่อใหญ่ ที่เลือกเส้น fusilli เพราะนอกจากจะกินง่ายแล้ว ยังชอบที่ซ้อสมันไปอยู่ตามเกลียวของเส้น เวลาตักใส่ปากก็เลยจะได้ทั้งรสชาติของเส้นและของซ้อสพร้อมๆกัน (มีหลักการนะเนี่ย) จะชมฝาละมีตัวเองตรงๆก็เกรงใจ แต่เอาเป็นว่า ตอนแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อนๆแย่งกันจะใส่กล่องไปฝากลูกฝากเมียที่บ้านกันยกใหญ่ ทำเอาพ่อไข่ปลาหน้าบานอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนเบิร์ธเดย์ปาร์ตี้ของพี่เขย ตอนแรกพ่อไข่ปลาจะทำอาหารที่เข้ากับหน้าตา เนื้อย่างเกาหลี แล้วด้วยสัญชาติญาน(หรือสันดานก็ไม่รู้)แม่ไข่ปลารีบทักท้วงว่า "เนื้อน่ะ ทำไม่นานหรอก แต่จะเสียเวลาตอนที่ทำน้ำจิ้ม เพราะต้องปั่นนู่นปั่นนี่" (ตามล้างเครื่องครัวจนจำได้) พ่อไข่ปลาเลยหันมาถามด้วยหน้าตาเบื่อหน่าย "แล้วฮันนี้อยากกินอะไรอ่ะ" "อืม...(คิดนิดนึงพองาม) เนื้อผัดพริกไทยดำใส่ bell pepper" (แต่มีรีเควสท์ชนิดผัก) เข้าใจว่าพ่อไข่ปลาคงเห็นด้วย เพราะไม่เห็นพูดอะไร แต่งตัวออกไปซื้อ material กลับมา cook ใส่ container เอาไปกินที่บ้านพี่เขย แล้วก็ขายดีตามคาด วิดน้ำราดข้าวกันจนกันดาร ตอนแรกก็กังวลกันว่า เนื้อจะเหนียวมั๊ย เพราะปกติแล้วถ้าอยากจะได้เนื้อดีหน่อย ต้องไปซื้อที่วิลล่า แต่คราวนี้ไม่มีเวลา เลยไปซื้อเนื้อสันในจากท๊อปส์ ซึ่งนุ่มใช้ได้เลยทีเดียว

ที่บอกว่าของเหลือแบบหรู มันเป็นผลพวงมาจากการทำอาหารไปทั้งสองปาร์ตี้นี่แหล่ะ คือเื่มื่อวันก่อน แม่ไข่ปลางอแง ไม่อยากออกไปทานข้าวนอกบ้าน แล้วก็ไม่อยากจะสั่งอะไรมาทาน พ่อไข่ปลาเลยไปมุดๆอยู่แถวตู้เย็น ซักแป๊บก็ขนของออกมากองๆข้างนอก เลยรีบถามตามนิสัยเจ๋อทุกเรื่อง
"ฮันนี้จะทำอะไรเหรอ" คำตอบสั้นและได้ใจความว่า "ทำของเหลือ..มั่วๆเอา" มามุขนี้ เราเลยไม่รู้จะวิจารณ์ หรือค้านยังไงดี พอดียุ่งๆพริ้นต์งานอยู่ด้วย เลย(ฝืนใจ)ปล่อยพ่อไข่ปลาให้มั่วไปคนเดียว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็มีอาหารของเหลือแบบหรูมาวางอยู่ข้างๆ หน้าตาแบบนี้...










เสต๊กเนื้อสันใน
โดยมี side dish เป็นพาสต้าผัดกับ
bell pepper ใส่เบค่อนและเห็ดหอม
(ของเหลือทั้งน้านนน)





แต่ก็ยังฟาดกันไม่เหลือซาก แบบนี้...



เฮ้อ...
เมื่อไหร่จะมีคนชวนไปปาร์ตี้อีกน้า
แม่ไข่ปลาจะได้มีลาภปากหรูๆแบบนี้อีก




เรื่องตอนนี้้ ไม่ต้องทำเนียนเอารูปห้องน้ำมาอวดอ้างเสน่ห์ปลายไม้ขัดกับแม่บ้านสูงวัย เอ้ย! สมองไวทั้งหลาย (อิอิ) แต่่เอาอาหารที่พ่อไข่ปลาทำมาอวดเท่านั้นเอง ซึ่งก็ยังไม่ใช่ฝีมือตัวเองอยู่ดี หุหุ

Sunday, April 27, 2008

แม่ไข่ปลากับเชื้อรา??

ตอนที่แล้วเล่าแค่ว่าคาเวียร์เป็นเชื้อรา ลืมเล่า(แก้ตัว)ว่าทำไมถึงไม่ได้อัพบล๊อกซะนาน
นอกจากที่จะต้องพาคาเวียร์ไปหาหมออาทิตย์ละ 2 ครั้ง ไม่ว่าจะเพื่อฉีดวัคซีนหลากหลายชนิด อาบน้ำ ทายา สู้กับเชื้อราและอาการภูมิแพ้ทางผิวหนังของลูกสาวสุดเลิฟแล้ว แม่ไข่ปลายังต้องไปออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2 หน แ่ห่ะๆ พูดจาสร้างภาพดีมะ จริงๆแล้วไปทำกายภาพบำบัดต่างหาก เนื่องจากกระดูกคอเสื่อม อ๊ะ...อันนี้ไม่ได้ขึ้นอยูกับอายุนะคะ แต่เป็นที่พฤติกรรมส่วนบุคคล (ดีเฟนด์สุดชีวิต) ใครที่ชอบนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือหรือทำงานกับคอมพิวเตอร์แล็พท๊อปนานๆ
อัตราเสี่ยงที่จะมีอาการนี้มีสูงมาก กระดูกคอของแม่ไข่ปลาเสื่อมไป 2 ข้อ
แถมแนวกระดูกก็ผิดรูป เลยโดนไปพบหมอกับทำกายภาพซะ 12 หน เรื่องค่าเสียหายไม่ต้องพูดถึง ตูดปอดหัวแบะไปเป็นเดือน ก่อนจะนอกเรื่องไปกว่านี้ สรุปว่า แม่ไข่ปลามัวแต่ยุ่งกับการพาตัวเองกับลูกสาวเข้าออกคลีนิคก็เลยอัพบล๊อกช้า
แต่ตอนนี้ตัวแม่หมดคอร์ส (และหมดตัว)แล้ว เลยมีเวลามากขึ้น งั้นเรามาเข้าเรื่องเชื้อรากันต่อดีกว่าเน๊อะ

พอรู้ว่าสาเหตุของการเป็นเชื้อราของคาเวียร์จนทำให้เจ้าหล่อนขนหูหายและหางหลิมแล้ว พ่อแม่ไข่ปลาก็ขะมักขะเม้นกับการไล่จับลูกออกจากห้องน้ำ จะปิดห้องน้ำตลอดก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวอับ จะปิดเฉพาะเวลาที่ต้องปล่อยเค้าอยู่บ้านคน เอ้ย ตัวเดียว จากกิจกรรมไล่จับนี้ เรายังได้ค้นพบฤทธิ์เดชอีกอย่างหนึ่งของลูกสาวตัวแสบ นั่นคือ Selective Hearing เธอเลือกที่จะได้ยินในสิ่งที่เราสั่ง ถ้าคุณเธอกำลังปีนผ้าม่าน จะเขมือบขาเก้าอี้หรือแทะเล็มสายไฟ (แสบมะ) แล้วพ่อกับแม่ไข่ปลาทำเสียงดังๆใส่ว่า่ "แน่ะๆ" เธอก็จะหยุด แต่ถ้าคุณเธอกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ต่อให้เราทำเสียงขู่ดังโหวกเหวกขนาดไหน เจ้าหล่อนก็จะทำหู(ซึ่งไร้ขน)ทวนลม หนวกกระทันหัน เดินเนิบๆเข้าไปซะงั้น ไม่วิ่งด้วยนะ เพราะเดี๋ยวจะแสดงว่าได้ยินว่าเราห้าม เดือดร้อนเราต้องลุกไปอุ้มออกมาวันละไม่รู้กี่รอบ นอกจากนี้ กิจกรรมการป้อนยาก็ทำเอาแม่ไข่ปลาเหงื่อตก เพราะเคยแต่ป้อนยาน้องหมา เก้ๆกังๆงงๆกันทั้งแม่ทั้งลูก จริงๆแล้วหมอยังยุให้หัดอาบน้ำเองด้วยนะ ไม่ไหวอ่ะ...แม่ไข่ปลาฯขอฝึกทีละอย่างละกัน

และแล้วความพยายามของพ่อแม่ไข่ปลาก็สัมฤทธิ์ผล ขนที่หูคาเวียร์ขึ้นมาอย่างสวยงาม ที่หางก็ดีขึ้น ยังเหลือตรงปลายหน่อยนึง แต่...ในขณะที่อาการของลูกดีขึ้นตามลำดับ แม่ไข่ปลาเริ่มสังเกตว่า มีตุ่มแดงๆขึ้นที่ข้างลำตัวช่วงบนด้านซ้าย ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะตัวเองแพ้นู่นแพ้นี่อยู่บ่อยๆ แต่มันคันคะเยอมากกก พยายามจะไม่เกาแล้ว แต่บางทีก็ลืม จากตุ่มเล็กๆ มันเริ่มตีวงแผ่กว้างออกเรื่อยๆ
ด้วยความที่เคยถามหมอต้อมแล้วว่าคนจะติดเชื้อราจากแมวมั๊ย หมอบอกว่าไม่ติด เราเลยไม่คิดว่าเป็นเชื้อรา จะไปหาหมอผิวหนังก็ยังขี้เกียจอยู่ เลยใช้วิธีเข้า google แล้วหาอาการของโรคผิวหนัง เอาล่ะสิ ไหงมันอาการเหมือนกลากเกลื้อน ลูกเป็นเชื้อรา แม่จะมาเป็นกลากเกลื้อนอีกเหรอเนี่ย อยู่เฉยไม่ได้ละ ไปให้หมอผิวหนังเค้าวินิจฉัยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

หลังจากถลกเสื้อให้คุณหมอผิวหนังที่รพ.เซ็นต์หลุยส์ดูวงงามๆข้างลำตัวได้ไม่ถึง 5 วิ คุณหมอยิงคำถามทันที "เลี้ยงแมวรึเปล่าคะ?" หึๆ หมอไม่ต้องพูดต่อ ก็รู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว เชื้อราค่ะคุณขา ติดจากลูกสาวตัวแสบนั่นแหล่ะ
แล้วหมอนะ เขียนในประวัติว่าเป็นเชื้อราที่ติดจากแมว แต่เขียนมาในใบรับรองแพทย์ที่ต้องเอาไปเบิกที่ทำงานว่า "เป็นเชื้อราที่ลำตัว" ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ของเราเล๊ย ตอนเอาไปยื่นที่ทำงาน ต้องรีบอธิบายเป็นพัลวัน

แน่นอน เพื่อคลายข้อกังขา แม่ไข่ปลากลับไปบอกหมอต้อมว่า ติดเชื้อราจากคาเวียร์ หมอก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจแต่อย่างใด แถมพูดออกมาซื่อๆว่า "ถ้าคนมีภูมิต่ำ ก็อาจจะติดได้" เวรกรรมของแม่ไข่ปลาอีกแล้วที่มีภูมิต่ำ เอ๊?? รึว่าหมอเค้าหมายถึงภูมิปัญญา

หลังจากกินยาและทายากันเป็นกระจาดมาเป็นเดือนทั้งตัวแม่ตัวลูก ตอนนี้เราสองคนปลอดเชื้อราแล้วนะคะ และมีรูปงามๆมาฝากค่ะ










ปล. สังเกตที่ปลายหางคาเวียร์
เหลือแค่ไอ้ปล้องนั้นที่ยังเป็น
ผิวหนังอักเสบอยู่
แต่รับรองว่าไม่ใช่เชื้อรา
เพราะแม่ไข่ปลาเชี่ยวชาญ
เรื่องนี้มาก มาจาก
ประสบการณ์ตรงเลยล่ะ


รูปพวกนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 51
2 วันก่อนคาเวียร์จะอายุ 3 เดือนเต็ม















Friday, April 25, 2008

เชื้อรากับคาเวียร์!!!

โอ้ว มายกู๊ดเน็สสสสสส แม่ไข่ปลากรี๊ดลั่นบ้าน ปากสั่น เหงื่อออกท่วมมือ
จะไม่ให้แม่ไข่ปลา(คาไห)ไฮโซสติแตกได้อย่างไร ก็ขนที่หูคาเวียร์หลุดออกมาทั้งแผง!!

---เมื่อ 5 นาทีที่แล้ว---
แม่ไข่ปลากำลังขัดสีฉวีวรรณคาเวียร์ตามที่ได้อ่านตำรามา
หวีขนทุกวันจะได้สลวย เช็ดหน้า เช็ดตา จะได้ไม่มีคราบน้ำตาถาวร
เช็ดไปเช็ดมา ถูไปถูมา "หือ!!" (แม่ไข่ปลาตาเหลือกเล็กน้อย แล้วเริ่มควบคุมสติไม่ได้)
ขนที่หูข้างซ้ายของคาเวียร์หลุดมาเป็นแผง เหลือแต่หนังหูล้วนๆ ตอนนั้นอย่างแรกที่คิดคือ...อย่าบอกนะว่าเป็นขี้เรื้อน เพราะเคยได้ลูกหมามา แล้วเป็นขี้เรื้อนชนิดที่รักษาไม่หาย พยายามอยู่ครึ่งปี ท้ายที่สุดก็ต้องให้หลับไป
เพราะไม่อยากให้เค้าทรมาน เศร้ามากกก ถ้าคาเวียร์จะเป็นแบบนั้นอีก ต้องขาดใจตายแน่

พอตั้งสติได้ ก็โทร.ไปหาเจ้าของที่รับฝากแมวที่เคยตีซี้ไว้ เล่าอาการให้เค้าฟัง เค้าก็วินิจฉัยจากประสบการณ์ว่า น่าจะเป็นเชื้อรา เพราะเป็นโรคฮิตติดอันดับของลูกแมว
แต่ถ้าจะให้แน่ใจ ให้พาไปหาหมอ ซึ่งพี่เค้าก็ให้ทั้งเบอร์โทร.และบอกทางให้ด้วย
แม่ไข่ปลาก็จับคาเวียร์ใส่ตะกร้า บึ่งไปหาหมอทันที

หมอต้อมคอนเฟิร์มค่ะ เชื้อรา 100% แม่ไข่ปลางงสุดชีวิต ทำไมล่ะ ไม่เข้าใจ
เรารักษาความสะอาดแล้วนะ หมอก็ซักฟอกพ่อแม่เป็นการใหญ่ พยายามหาสาเหตุของการเป็นเชื้อรา
บิงโก!! ต้นตอของปัญหาคือ ปล่อยให้คาเวียร์นอนในห้องน้ำ ด้วยความที่ด้อยประสบการณ์และปัญญา์ ไอ้เราก็กลัวลูกจะร้อน เห็นว่าชอบเดินไปนอนในห้องน้ำ เราก็ปล่อย ตามสบายเลยลูก แถมเวลาไม่อยู่บ้าน
ก็เปิดประตูห้องน้ำไว้ให้อีก ส่งเสริมกันเข้าไป (เข้าข่ายพ่อแม่รังแกฉันมั๊ยเนี่ย?)

อ่ะ โล่งอก เรารู้สาเหตุละ คราวนี้ก็ป้องกันได้ แต่หมอก็มาพูดให้ใจแป้วอีก
"เชื้อราเนี่ย จะรักษาให้หาย มันใช้เวลานะ ต้องอดทน"
ไม่เป็นไร แม่ไข่ปลาสู้ตาย จะให้ทำอะไร ขอให้บอกมา
"ป้อนยาทุกวัน ทายาทุกวัน พามาอาบน้ำอาทิตย์ละ 2 หนนะคะ"
(นี่ยังไม่รวมการฉีดวัคซีนต่างๆ) เอาฟะ เป็นไงเป็นกัน เพื่อความงามลูกสาว
ก่อนกลับ ด้วยความห่วงสวยของตัวเอง ก็ถามหมอว่าเชื้อราเนี่ย มันติดคนมั๊ย
"ไม่ติดหรอกค่ะ เนี่ย หมอก็นอนกับแมวตั้งหลายตัว"
ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวคนอื่นจะไม่กล้าเข้าใกล้คาเวียร์

เรื่องมันไม่จบแค่นั้นสิคุณขา เป็นเชื้อราอย่างเดียวยังไม่สะใจ ชีวิตมันยังง่ายไป
วันรุ่งขึ้น ขณะทายาอยู่ แม่ไข่ปลาไปจับหางคาเวียร์ "หือ!!" (นึกในใจ งานเข้าอีกแล้วตู)
เนื้อหางมันขรุขระ แข็งๆ ประปรายตั้งแต่โคนยันปลายหาง จะว่าเชื้อราก็อาการไม่เหมือน โทร.หาหมอต้อมดีกว่า แล้วก็ตามคาด แม่ไข่ปลาต้องมาแพ็คคาเวียร์ลงตะกร้า
กระเตงไปหาหมอทันที หลังลูบคลำแล้ว หมอต้อมก็วินิจฉัยว่า "อ๋อ...ไม่ใช่เชื้อราหรอก
เป็นภูมิแพ้... แต่ก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าเค้าแพ้อะไร ลูกแมวน่ะ ภูมิต่ำ แพ้ง่าย"
(เวรกรรม) แล้วหมอก็พ่นต่อว่า "ใช้ยาเดียวกันก็ได้นะ แต่ เอ๊ะ.." (อะไรอีกล่ะ)
"เป็นที่หางเนี่ย เดี๋ยวเค้าเลีย เอายาม่วงไปทาดีกว่า ทาที่หูด้วยก็ได้นะ
..อีกอย่างนึง..." (ว่ามา ตูทำใจละ) "ตัดขนที่หางออกดีกว่า จะได้ทายาง่ายๆ เวลาอาบน้ำ ผิวหนังจะได้โดนแชมพูยาเยอะๆ" จริงๆแล้ว แม่ไข่ปลาตาลายหูอื้อตั้งแต่คำว่าตัดขน
โกโซบิ๊กแล้วลูกไข่ปลาฉัน แต่...ก็อยากให้เค้าหายเร็วๆ "โอเคค่ะหมอ" ปริบ ปริบ

และนี่คือสภาพของคาเวียร์ในวันนั้น น่าสงสารมากกกกกก















เพื่อนบางตัวดันมาถามว่า "แกแน่ใจนะว่ามันจะไม่ลามจากหางขึ้นมาหัว" ใจร้ายยยยย
อีกคนก็เสริม "หรือจะจากหูไปหางวะ" แม่ไข่ปลาทนไม่ไหว เลยสวนไปว่า
"จากไหนไม่รู้ล่ะ แต่ลามไปหัวพวกแกชัวร์" หุหุ สรุป...แม่ไข่ปลาใจร้ายสุด
ช่วยไม่ได้ มาว่าลูกสาวไฮโซฉันก่อน

.....เชื้อรากับคา์เวียร์ยังไม่จบแค่นี้ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ.....